ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษพื้นฐานที่ต้องรู้ก่อนสอบ IELTS

หากกำลังวางแผนเตรียมสอบ IELTS ไม่ว่าจะเพื่อเรียนต่อ ทำงาน หรือย้ายถิ่นฐาน หนึ่งในพื้นฐานที่ต้องมีให้แน่นคือ “ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ (English Grammar)” เพราะไม่ว่าจะสอบพาร์ตไหน—Writing, Speaking, Reading หรือ Listening—Grammar ล้วนมีบทบาทสำคัญในการสื่อสารให้ถูกต้องและเป็นธรรมชาติ

หลายคนอาจคิดว่าแค่รู้คำศัพท์เยอะก็เพียงพอ แต่ความจริงคือ การใช้ Grammar ได้อย่างถูกต้องคือสิ่งที่ช่วยยกระดับภาษาให้ดูมีมาตรฐานและน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในพาร์ต Writing และ Speaking ซึ่งผู้ตรวจจะให้คะแนน Grammar โดยตรง หากใช้โครงสร้างผิดเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้คะแนนลดลงได้

บทความนี้จะพาทบทวน หลักไวยากรณ์อังกฤษพื้นฐานที่ควรรู้ก่อนสอบ IELTS พร้อมเทคนิคการฝึกฝน Grammar ให้เข้าใจง่ายและใช้ได้จริง ทั้งสำหรับผู้เรียนด้วยตัวเองและผู้ที่กำลังมองหาคอร์สเรียน grammar ออนไลน์ เพื่อให้พร้อมสอบได้อย่างมั่นใจและมีโอกาสคว้า Band สูงได้ตามเป้าหมาย

ทำไม “ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ” ถึงสำคัญต่อการสอบ IELTS

เมื่อพูดถึงการสอบ IELTS ไม่ว่าจะเป็น Academic หรือ General Training หนึ่งในทักษะที่ผู้สอบมักมองข้ามคือ “ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ (English Grammar)” ทั้งที่จริง ๆ แล้ว Grammar มีผลต่อทุกพาร์ตของการสอบ ไม่ว่าจะเป็น Writing, Speaking, Listening หรือ Reading เพราะ Grammar คือ “โครงสร้างของภาษา” ที่ช่วยให้เราสื่อสารได้อย่างถูกต้องและชัดเจน

ตัวอย่างเช่น….

  • ในพาร์ต Writing, การใช้ tense ผิดเพียงคำเดียวอาจทำให้ความหมายเปลี่ยนไป
  • ในพาร์ต Speaking, การเรียบเรียงประโยคไม่ถูกต้องอาจทำให้ผู้ฟังเข้าใจคลาดเคลื่อน
  • แม้แต่ใน Listening และ Reading, การเข้าใจโครงสร้างไวยากรณ์ช่วยให้เราวิเคราะห์ประโยคซับซ้อนได้ดีขึ้น

เพราะฉะนั้น ถ้าอยากได้คะแนน IELTS สูง โดยเฉพาะ Band 7 ขึ้นไป การเข้าใจ “หลักไวยากรณ์อังกฤษ” อย่างถูกต้องคือพื้นฐานสำคัญที่ละเลยไม่ได้เลย

รวม “ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษพื้นฐาน” ที่ต้องรู้ก่อนสอบ IELTS

การเรียน Grammar ไม่จำเป็นต้องท่องจำทั้งหมด แต่ควรรู้ “หลักสำคัญ” ที่มักออกสอบและใช้จริงในการทำข้อสอบ IELTS ดังนี้

1. Tenses (กาลของกริยา)

พื้นฐานที่สุดและสำคัญที่สุดของ Grammar ทุกระดับ เพราะเป็นสิ่งที่บอกว่า “เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อไหร่”
ใน IELTS เราควรเข้าใจและใช้ได้อย่างถูกต้องใน 12 Tenses โดยเฉพาะ 5 กลุ่มหลักนี้:

  • Present Simple / Continuous – ใช้บอกข้อเท็จจริง หรือสิ่งที่เกิดขึ้นประจำและสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน
  • Past Simple / Continuous – ใช้เล่าเหตุการณ์ในอดีต
  • Present Perfect / Perfect Continuous – ใช้บอกเหตุการณ์ที่เริ่มในอดีตและยังเกี่ยวข้องกับปัจจุบัน
  • Past Perfect – ใช้พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนอีกเหตุการณ์นึงในอดีต
  • Future Forms (will / going to / present continuous for future) – ใช้พูดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

Tip: ในการสอบ Writing Task 1 มักใช้ Tense ที่หลากหลาย เช่น Past Tense สำหรับข้อมูลในอดีต หรือ Present Perfect สำหรับแนวโน้มโดยรวม ควรฝึกให้ใช้ได้อย่างคล่อง

Subject-Verb Agreement (ประธานและกริยาต้องสอดคล้องกัน)

จุดผิดพลาดยอดฮิตของผู้สอบ IELTS คือ “ลืมทำให้กริยาตรงกับประธาน” เช่น
❌ He go to school every day.
✅ He goes to school every day.

เทคนิคจำง่าย:
ประธานเอกพจน์ (he, she, it, singular noun) → เติม -s ที่กริยา
ประธานพหูพจน์ (they, we, plural noun) → ไม่เติม -s

3. Articles (a, an, the)

แม้จะเป็นคำเล็ก ๆ แต่ Article เป็น Grammar ที่ควรให้ความสำคัญ โดยเฉพาะใน Writing และ Speaking

  • a / an ใช้กับสิ่งที่พูดถึงเป็นครั้งแรกและเป็นนามนับได้
  • the ใช้กับสิ่งที่พูดถึงซ้ำ หรือเป็นสิ่งเฉพาะเจาะจง
  • ไม่ต้องใช้ article เมื่อพูดแบบทั่ว ๆ ไปและเป็นนามนับไม่ได้ เช่น I like coffee.

ตัวอย่างข้อผิดพลาดที่เจอบ่อย:
❌ I bought the new phone yesterday. (เมื่อยังไม่เคยพูดถึงมาก่อน)
✅ I bought a new phone yesterday.

4. Prepositions (บุพบท)

คำอย่าง in, on, at, by, with, about มักสร้างความสับสน เพราะภาษาไทยไม่มีคำที่เทียบตรงตัว
เช่น
✅ I’m interested in learning English.
✅ She’s good at cooking.
❌ She’s good in cooking.

Tip: ฝึกจดจำเป็นวลี (collocations) เช่น

  • interested in
  • good at
  • depend on
    จะช่วยให้ใช้ได้ถูกต้องโดยไม่ต้องท่องแยกคำ

5. Conditional Sentences (ประโยคเงื่อนไข)

เป็นหัวข้อที่มักออกในพาร์ต Writing Task 2 หรือ Speaking โดยเฉพาะเวลาต้อง “ให้เหตุผล” หรือ “แสดงความคิดเห็นเชิงสมมติ”
ตัวอย่าง:

  • Type 1: If I study hard, I will pass the test. (สมมุติอาจเป็นจริงได้)
  • Type 2: If I were you, I would study harder. (สมมุติไม่เป็นจริงในปัจจุบัน)
  • Type 3: If I had known, I would have joined earlier. (สมมุติเกี่ยวกับสิ่งที่ผ่านไปแล้วในอดีต)

6. Passive Voice (ประโยคถูกกระทำ)

โครงสร้างที่มักเจอใน IELTS Writing Task 1 โดยเฉพาะพวก “process” หรือ “report” เช่น

  • The building was constructed in 1990.

เคล็ดลับ: ถ้าไม่แน่ใจว่าประธานคือใคร ให้ใช้ passive voice จะปลอดภัยกว่าในงานเขียนทางวิชาการ

7. Modal Verbs (กริยาช่วย)

เช่น can, could, may, might, should, must ใช้บ่งบอก “ระดับของความเป็นไปได้” หรือ “หน้าที่” ของประโยค
เช่น

  • You should study grammar every day. (คำแนะนำ)
  • You must show your ID card. (ข้อบังคับ)
  • It might rain later. (ความเป็นไปได้)

8. Relative Clauses (ประโยคย่อยขยายคำนาม)

ช่วยให้ภาษาดูเป็นทางการและซับซ้อนขึ้น ซึ่ง IELTS ชอบมาก เช่น

  • The man who lives next door is a teacher.
  • The book that I borrowed was interesting.

Tip: การใช้ relative pronouns (who, which, that, whose, where) ให้เหมาะกับบริบทจะช่วยยกระดับ ภาษาให้ดูเป็นธรรมชาติกว่าเดิม

เทคนิคเรียน Grammar IELTS ให้เข้าใจง่ายและจำได้จริง

แม้ Grammar จะเป็นเรื่องใหญ่ แต่การเรียนให้ “จำได้และใช้ได้จริง” ไม่จำเป็นต้องยาก หากมีแนวทางการเรียนที่เหมาะสม

1. เริ่มจากวิเคราะห์ข้อผิดพลาดของตัวเอง

ก่อนเรียน Grammar ใหม่ ลองดูว่าตัวเองมักผิดเรื่องไหน เช่น Tense, Preposition หรือ Article
จากนั้นเจาะจงฝึกเฉพาะจุดนั้น จะได้พัฒนาได้เร็วขึ้น

2. เรียน Grammar ผ่านวิดีโอสอนต่าง ๆ

การดู วิดีโอไวยากรณ์อังกฤษ เป็นอีกวิธีที่ช่วยให้เข้าใจเร็ว เพราะอธิบายพร้อมภาพ ตัวอย่าง และเสียงพูดจริง เหมาะกับผู้เรียนที่ไม่ชอบอ่านเยอะ
หาความรู้ Grammar IELTS ที่เน้นโครงสร้างและเทคนิคการใช้ในข้อสอบ เช่น

  • วิธีเขียนประโยคซับซ้อน (complex sentences)
  • เทคนิคใช้ conjunction เชื่อมเหตุผลใน Writing Task 2

3. ใช้ e-book grammar ทบทวนได้ทุกที่

e-book grammar เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทบทวนเนื้อหาได้สะดวก โดยไม่ต้องพกหนังสือหนา ๆ
ควรเลือก e-book ที่มีแบบฝึกหัดท้ายบท พร้อมเฉลยและคำอธิบาย 

4. เรียน Grammar ออนไลน์กับครูผู้เชี่ยวชาญ

หากเรียนด้วยตัวเองแล้วยังไม่เข้าใจ การลงคอร์ส เรียน grammar ออนไลน์ เป็นอีกทางเลือกที่ดี เพราะจะได้ฝึกใช้ Grammar ผ่านตัวอย่างจริงในข้อสอบ IELTS พร้อม feedback จากผู้สอน
การเรียนแบบนี้ช่วยให้เข้าใจหลักไวยากรณ์อังกฤษเชิงลึกมากขึ้น และลดการใช้โครงสร้างที่ผิดพลาดใน Writing และ Speaking

5. ฝึกเขียนและพูดประโยคจริงทุกวัน

Grammar จะจำได้ดีที่สุดเมื่อ “ใช้จริง” ไม่ใช่แค่ท่องจำ
ลองตั้งเป้าวันละ 3–5 ประโยค เช่น

  • เขียน journal ภาษาอังกฤษโดยเน้นใช้ tense ต่าง ๆ
  • พูดกับเพื่อนหรืออัดเสียงตัวเอง เพื่อฟังและแก้จุดผิด
    เมื่อฝึกเป็นประจำ สมองจะจำรูปแบบประโยคอัตโนมัติ

สรุป: อยากได้ Band สูง Grammar ต้องแม่น!

ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษไม่ใช่แค่ “กฎของภาษา” แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณสื่อสารได้ถูกต้องและน่าเชื่อถือมากขึ้น

ไม่ว่าจะตั้งเป้า IELTS Band 6.5, 7.0 หรือ 8.0 “Grammar” คือปัจจัยสำคัญที่ผู้สอบทุกคนต้องมีพื้นฐานแน่น โดยเฉพาะหัวข้อหลักอย่าง Tenses, Articles, Subject-Verb Agreement, และ Complex Sentences

อย่าลืมว่า การเรียน Grammar ที่ดีไม่จำเป็นต้องเครียด — แค่เข้าใจโครงสร้าง ฝึกใช้บ่อย และสังเกตข้อผิดพลาดของตัวเอง ก็สามารถพัฒนาได้อย่างเห็นผล

และหากอยากเริ่มต้นแบบไม่ซ้ำใคร ลองผสมการเรียนจาก วิดีโอไวยากรณ์อังกฤษ, e-book grammar, และคอร์ส เรียน grammar ออนไลน์ เข้าด้วยกัน จะช่วยให้การเรียน Grammar IELTS เป็นเรื่องง่าย สนุก และได้ผลจริง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *